Skip to content
OMEGA constellation deville seamaster speedmaster specialities
ย้อนกลับ

Seamaster ครบรอบ 70 ปี

นำมาจาก OMEGA Lifetime - The Family Edition

ภาพถ่ายโดยฟิลลิปเป ลาคอมบ์ (PHILIPPE LACOMBE)

ความหลงใหลในท้องทะเลของมนุษยชาติสืบย้อนกลับไปได้นับหลายพันปี ความลึกลับแห่งท้องทะเลที่ซุกซ่อนใต้เกลียวคลื่นอันดำมืดได้ดึงดูดและเย้ายวนเราเสมอมา ตราบเท่าที่มนุษย์มีสัญชาติญาณที่อยากจะออกสำรวจ แต่เมื่อไม่นานมานี้ หรือเพียงศตวรรษที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็มีเทคโนโลยีการดำน้ำที่สูงพอให้สามารถไขความลับแห่งท้องทะเลได้

หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในภารกิจก็คือนาฬิกาที่เราสวมใส่อยู่บนข้อมือของเรา การบอกเวลาที่แม่นยำและความทนทานเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาสำหรับผู้ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับเกลียวคลื่น ตั้งแต่การจับเวลาการใช้อากาศในหลักวินาทีที่มีความสำคัญยิ่ง รวมถึงการเอาชีวิตรอดจากแรงดันที่กดอัด

อ่านเพิ่มเติม

แต่ในขณะที่ความเป็นไปได้ในการสำรวจมหาสมุทรกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น ความหายนะจากสงครามโลกครั้งที่สองได้มาเยือน และทำให้โลกตกอยู่ในความโกลาหลยาวนานถึง 6 ปี ท่ามกลางสงครามระหว่างปี 1939 ถึง 1945 นี้เอง OMEGA ก็สร้างความเชี่ยวชาญที่เหลือเชื่อผ่านการผลิต และการส่งมอบนาฬิกากันน้ำส่วนใหญ่ให้กับเหล่านักบิน และพลนำร่องในกองทัพอากาศอังกฤษสวมใส่ นับเป็นบทเรียนฉุกเฉินสำหรับการออกแบบนาฬิกา แต่ก็ช่วยให้แบรนด์สามารถมีทักษะในการผลิตนาฬิกาที่ทนทานและเชื่อถือได้จนเชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง Seamaster ได้ถือกำเนิดขึ้นจากประสบการณ์ดังกล่าว คอลเลคชั่นดังกล่าวได้รับการเปิดตัวในปี 1948 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปีของ OMEGA โดยใช้เทคโนโลยีที่ถูกใช้กับนาฬิกาช่วงสงคราม และปรับโฉมใหม่เพื่อมอบสัมผัสที่สง่างามสำหรับผู้ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งซึงต้องการนาฬิกาสำหรับ 'เมือง ทะเล และชนบท'

อ่านเพิ่มเติม

The choice of explorers

ตัวเลือกของนักสำรวจ

จุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่มหาสมุทรใหม่นี้ก็คือ Seamaster 300 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรือนเวลา " professional" ทั้งสามรุ่นของ OMEGA ที่เปิดตัวในปี 1957 (พร้อมกับการเปิดตัวนาฬิกา Speedmaster และ Railmaster ครั้งแรก) การแสดงผลที่อ่านง่ายของเรือนเวลารุ่น 300 มาพร้อมกับเข็มแบบบรอดแอร์โรว์ และหลักชั่วโมงทรงแหลมบนหน้าปัดสีดำเจ็ทแบล็คที่ช่วยให้เห็นได้อย่างชัดเจน แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงนั้นคือความสามารถในการกันน้ำอันเหนือชั้นของนาฬิการุ่นดังกล่าว ซึ่งได้รับการระบุโดยสัญลักษณ์ดาว “Naiad” อันประณีตที่อยู่ภายในตราบนเม็ดมะยม

Seamaster 300 รุ่นแรก และรุ่นต่อๆ มาได้กลายมาเป็นตัวเลือกของเหล่านักสำรวจ และนักดำน้ำที่โด่งดังที่สุดในโลกหลายคนอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งฌาคส์-อีฟส์ กุสโต (Jacques-Yves Cousteau) และทีมของเขาก็พึ่งพานาฬิกาเรือนนี้ในระหว่างการทดลอง Precontinent II ในทะเลแดงช่วงฤดูร้อนปี 1963 เพื่อพิสูจน์ว่านักดำน้ำสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีก๊าซอิ่มตัวจมอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่มีผลข้างเคียง ทั้งนี้ Seamaster 300 ยังเป็นนาฬิกาที่นักดำน้ำของกองทัพทั่วโลกเลือกใช้ ซึ่งรวมถึง British Special Boat Service และหน่วยอื่นๆ อีกมากมาย

อ่านเพิ่มเติม

นี่เป็นอีกครั้งที่ OMEGA ได้ลุกขึ้น (หรือดำดิ่ง) เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย ในปี 1970 เรือนเวลา Seamaster Ploprof ที่ดูแปลกตาและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ก็ได้รับการเปิดตัว โดยมาพร้อมกับตัวเรือนหลายเหลี่ยมชิ้นเดียวโดยมีการใช้ซีลยางที่มีความแน่นเป็นพิเศษ รับประกันศักยภาพอันน่าทึ่งเพื่อต่อกรกับแรงของมหาสมุทร และเพื่อมอบประสิทธิภาพในการกันน้ำระดับสูงสุด อีกทั้งยังมีเม็ดมะยมทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งฝังจมลงไปในตัวเรือน และได้รับการปกป้องด้วยน็อตล็อคขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกาเพื่อให้ขยับข้อมือได้สะดวก และป้องกันการกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจ

นอกจากน้ำแล้ว “Ploprof” ยังพบวิธีการจัดการผู้บุกรุกเจ้าปัญหาอีกรายได้ด้วย เพราะระหว่างปรับลดแรงดันนั้น นักดำน้ทั่วไปจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงภายในระฆังดำน้ำ พร้อมกับหายใจเอาก๊าซที่มีอะตอมฮีเลียมขนาดเล็กเข้าไป อะตอมเหล่านี้มีขนาดเล็กแต่ทรงพลังมาก และสามารถแทรกซึมเข้าไปในนาฬิกาของนักดำน้ำ และทำให้นาฬิการะเบิดออกเมื่อจบขันเตอนการปรับลดแรงดัน แต่ทว่าการออกแบบอันชาญฉลาดของ “Ploprof” นั้นไม่เหมือนกับนาฬิกาส่วนใหญ่ที่ติดตั้งฮีเลียมวาล์วไว้ภายใน เพราะตัวนาฬิกาเองสามารถป้องกันไม่ให้ฮีเลียมเข้าไปในนาฬิกาได้ตั้งแต่แรก การออกแบบนี้เองช่วยให้ความเที่ยงตรงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแก๊สเลย

อ่านเพิ่มเติม

Rebirth of horology

ฟื้นฟูศาสตร์แห่งการผลิตเครื่องบอกเวลา

เมื่อทศวรรษที่ 80 มาเยือน Seamaster และอุตสาหกรรมนาฬิกาของสวิสทั้งหมดต่างประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งบังเอิญเป็นทศวรรษที่ได้รับการจดจำเสมอมาถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นทั้งในด้านการเมือง ดนตรี เทคโนโลยี และแฟชั่น แต่ทศวรรษดังกล่าวก็สมควรเป็นที่น่าจดจำถึงความหายนะที่เกิดขึ้นกับวงการผู้ผลิตนาฬิกาเช่นกัน เนื่องจากทศวรรษที่ผ่านมานาฬิการะบบควอตซ์จากประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนผสมของพายุที่สมบูรณ์แบบซึ่งโหมกระหน่ำเข้ามาในทศวรรษที่ 80 และเป็นภัยที่จะทำให้แบรนด์นาฬิกาสวิสหลายแบรนด์จมดิ่งสู่ความมืดมน ซึ่งในขณะที่ความนิยมของนาฬิกากลไกถดถอยลงอย่างมากนั้น อุตสาหกรรมก็จำเป็นที่จะต้องตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ และโดยเร็วที่สุด ตามหน้าประวัติศาสตร์ ถือเป็นความโชคดีที่แบรนด์สวิสหลายแบรนด์ที่อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้วยการร่วมมือกัน และรวมความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาของพวกเขาเข้าเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียว การมองการณ์ไกลและการปรับโครงสร้างใหม่นี้เองที่ทำให้อุตสาหกรรมสามารถรักษาเสถียรภาพของตัวเอง และอยู่รอดมาได้

อ่านเพิ่มเติม

Watches that inspire

นาฬิกาที่สร้างแรงบันดาลใจ

จากนั้นในปี 1995 Seamaster ก็ถูกสวมใส่โดยผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุด เมื่อเจมส์ บอนด์ (James Bond) หวนกลับมาสู่จอภาพยนตร์ในเรื่อง GoldenEye พร้อมกับ Seamaster Diver 300M สีน้ำเงินที่ปรากฏเด่นชัดบนข้อมือ นาฬิกาที่เป็นตัวเลือกของจารชนเรือนนี้มาจากลินดี้ เฮมมิง (Lindy Hemming) นักออกแบบเครื่องแต่งกายของภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้สึกได้ว่า Seamaster คือเรือนเวลาที่เหมาะสมที่สุดกับนาวาโท เห็นได้ชัดว่าเฮมมิง (Hemming) ให้ความสนใจกับมรดกทางการทหารของ OMEGA ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Seamaster อย่างลงรายละเอียด

นี่เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ Seamaster มีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดกาล เพราะในภาพยนตร์ 007 ตั้งแต่ในปี 1995 เจมส์ บอนด์ (James Bond) และ Seamaster ก็ไม่เคยแยกจากกันเลย บ่อยครั้งที่นาฬิกาได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตจารชน โดยมาพร้อมกับคุณสมบัติที่น่าทึ่ง ทว่าไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในรุ่นที่จำหน่ายทั่วไป ถึงกระนั้น ความเกี่ยวข้องกับบอนด์ (Bond) ก็ได้มอบมรดกเพิ่มเติมให้กับ Seamaster และเป็นสิ่งที่โดนใจเหล่าแฟนตัวยงอย่างยิ่ง

อ่านเพิ่มเติม