Breadcrumb
นำมาจาก OMEGA Lifetime - The Family Edition
ภาพถ่ายโดยฟิลลิปเป ลาคอมบ์ (PHILIPPE LACOMBE)
ความหลงใหลในท้องทะเลของมนุษยชาติสืบย้อนกลับไปได้นับหลายพันปี ความลึกลับแห่งท้องทะเลที่ซุกซ่อนใต้เกลียวคลื่นอันดำมืดได้ดึงดูดและเย้ายวนเราเสมอมา ตราบเท่าที่มนุษย์มีสัญชาติญาณที่อยากจะออกสำรวจ แต่เมื่อไม่นานมานี้ หรือเพียงศตวรรษที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็มีเทคโนโลยีการดำน้ำที่สูงพอให้สามารถไขความลับแห่งท้องทะเลได้
หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในภารกิจก็คือนาฬิกาที่เราสวมใส่อยู่บนข้อมือของเรา การบอกเวลาที่แม่นยำและความทนทานเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาสำหรับผู้ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับเกลียวคลื่น ตั้งแต่การจับเวลาการใช้อากาศในหลักวินาทีที่มีความสำคัญยิ่ง รวมถึงการเอาชีวิตรอดจากแรงดันที่กดอัด
[READ_MORE]
ในทุกวันนี้ เราทราบดีว่า Omega Seamaster เป็นหนึ่งในเรือนเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับการผจญภัยในมหาสมุทร และคุณสามารถคาดหวังตามชื่อของนาฬิการุ่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราได้รังสรรค์นาฬิกาเรือนนี้ขึ้นมา แต่ก็เหมือนกับนาฬิกาหลายรุ่นที่ได้รับการออกแบบมาให้มีความทนทาน การเดินทางของ Seamaster นั้นไม่เหมือนใคร เส้นทางของนาฬิกาเรือนนี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ทว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของนาฬิกาเรือนนี้อาจแตกต่างไปจากที่คุณคิดไว้มาก
จุดเริ่มต้นแรกที่สำคัญของการรังสรรค์เกิดขึ้นในปี 1932 นี่เป็นครั้งแรกที่ OMEGA ได้เปิดตัวนาฬิกา "Marine" ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่ออกแบบมาสำหรับนักดำน้ำทั่วไปโดยเฉพาะ ด้วยการคิดค้นขึ้นเพื่อการสำรวจ “Marine” จึงได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักสำรวจ เฉกเช่น วิลเลียม บีบี (William Beebe) และอีฟส์ เลอ ปรีเยอร์ (Yves Le Prieur) ไปโดยปริยาย และกำหนดเส้นทางสู่ความก้าวหน้าของ OMEGA ในด้านเทคโนโลยีการป้องกันน้ำและเทคโนโลยีใต้น้ำ “Marine” เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งของ Omega และช่วยให้มั่นใจได้ว่าแบรนด์จะมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับนาฬิกาดำน้ำในอีกหลายปีข้างหน้า
Carousel controls
แต่ในขณะที่ความเป็นไปได้ในการสำรวจมหาสมุทรกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น ความหายนะจากสงครามโลกครั้งที่สองได้มาเยือน และทำให้โลกตกอยู่ในความโกลาหลยาวนานถึง 6 ปี ท่ามกลางสงครามระหว่างปี 1939 ถึง 1945 นี้เอง OMEGA ก็สร้างความเชี่ยวชาญที่เหลือเชื่อผ่านการผลิต และการส่งมอบนาฬิกากันน้ำส่วนใหญ่ให้กับเหล่านักบิน และพลนำร่องในกองทัพอากาศอังกฤษสวมใส่ นับเป็นบทเรียนฉุกเฉินสำหรับการออกแบบนาฬิกา แต่ก็ช่วยให้แบรนด์สามารถมีทักษะในการผลิตนาฬิกาที่ทนทานและเชื่อถือได้จนเชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง Seamaster ได้ถือกำเนิดขึ้นจากประสบการณ์ดังกล่าว คอลเลคชั่นดังกล่าวได้รับการเปิดตัวในปี 1948 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปีของ OMEGA โดยใช้เทคโนโลยีที่ถูกใช้กับนาฬิกาช่วงสงคราม และปรับโฉมใหม่เพื่อมอบสัมผัสที่สง่างามสำหรับผู้ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งซึงต้องการนาฬิกาสำหรับ 'เมือง ทะเล และชนบท'
[READ_MORE]
Seamaster รุ่นแรกๆ เหล่านั้นได้แสดงออกถึงจิตวิญญาณของโลกที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ เรือนเวลาเหล่านี้เหมาะสำหรับทั้งการเล่นกีฬาและท้องทะเล แต่ก็ดูหรูมากพอที่จะสวมเที่ยวไปในบาร์และไนท์คลับของเมืองที่กำลังเติบโต เรือนเวลานี้มีหลากหลายแง่มุมให้คุฯเชยชมทั้งพื้นผิว และลวดลาย การออกแบบช่วยให้นาฬิกาเหล่านี้เหมาะสำหรับสุภาพบุรุษที่มีรสนิยมด้านแฟชั่นอย่างแท้จริง ถึงกระนั้น ในเวลาเดียวกัน ตัวเรือนสุดแกร่งและขานาฬิกาแบบหนาก็ได้แสดงให้เห็นว่าเรือนเวลาเหล่านี้แข็งแรงมากพอสำหรับการใช้ชีวิตแบบผจญภัย
Seamaster ได้เข้าสู่นวัตกรรมการดำน้ำอย่างจริงจังในปี 1957 แม้ว่ายุคดังกล่าวจะมีร็อคแอนด์โรลเป็นกระแสหลัก แต่สิ่งที่มีความสำคัญควรค่าแก่การจดจำไม่แพ้กันก็คือความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในการสำรวจ ยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ถูกพิชิต และแม้แต่อวกาศก็กลายเป็นเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าดึงดูดใจ แต่สำหรับสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเล โลกแห่งการสำรวจมหาสมุทรนั้นเปิดออกตลอดกาลผ่านการดำน้ำลึกที่ขยายตัวมากขึ้น ความมุ่งมั่นในการออกสำรวจที่น่าตื่นเต้นนี้มีราคาที่ไม่แพง และเข้าถึงได้โดยผู้คนส่วนใหญ่ และในขณะที่น่านน้ำของโลกได้เปิดกว้างสำหรับธุรกิจและความบันเทิงอยู่นั้น Omega Seamaster ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมแล้ว
จุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่มหาสมุทรใหม่นี้ก็คือ Seamaster 300 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรือนเวลา " professional" ทั้งสามรุ่นของ OMEGA ที่เปิดตัวในปี 1957 (พร้อมกับการเปิดตัวนาฬิกา Speedmaster และ Railmaster ครั้งแรก) การแสดงผลที่อ่านง่ายของเรือนเวลารุ่น 300 มาพร้อมกับเข็มแบบบรอดแอร์โรว์ และหลักชั่วโมงทรงแหลมบนหน้าปัดสีดำเจ็ทแบล็คที่ช่วยให้เห็นได้อย่างชัดเจน แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงนั้นคือความสามารถในการกันน้ำอันเหนือชั้นของนาฬิการุ่นดังกล่าว ซึ่งได้รับการระบุโดยสัญลักษณ์ดาว “Naiad” อันประณีตที่อยู่ภายในตราบนเม็ดมะยม
Seamaster 300 รุ่นแรก และรุ่นต่อๆ มาได้กลายมาเป็นตัวเลือกของเหล่านักสำรวจ และนักดำน้ำที่โด่งดังที่สุดในโลกหลายคนอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งฌาคส์-อีฟส์ กุสโต (Jacques-Yves Cousteau) และทีมของเขาก็พึ่งพานาฬิกาเรือนนี้ในระหว่างการทดลอง Precontinent II ในทะเลแดงช่วงฤดูร้อนปี 1963 เพื่อพิสูจน์ว่านักดำน้ำสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีก๊าซอิ่มตัวจมอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่มีผลข้างเคียง ทั้งนี้ Seamaster 300 ยังเป็นนาฬิกาที่นักดำน้ำของกองทัพทั่วโลกเลือกใช้ ซึ่งรวมถึง British Special Boat Service และหน่วยอื่นๆ อีกมากมาย
[READ_MORE]
ในอีกหลายปีต่อมา 'การแข่งขันสู่เบื้องลึกแห่งสมุทร’ ก็ขยายจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และความสำคัญของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) เป็นที่รู้จักจากคำมั่นสัญญาที่จะส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ ถึงกระนั้น ในเวลาเดียวกัน เขายังกล่าวอีกว่า “ความรู้เกี่ยวกับมหาสมุทรนั้นเป็นมากกว่าแค่เรื่องของความอยากรู้อยากเห็น เพราะความอยู่รอดของเราอาจขึ้นอยู่กับสิ่งนี้” ในทศวรรษต่อมาหลังถ้อยแถลงของเคนเนดี ก็ได้มีการลงทุนอย่างมหาศาล ซึ่งเปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับมหาสมุทร รวมถึงผลกระทบของมหาสมุทรที่มีต่อภูมิอากาศ สภาพอากาศ และสมบัติทางเคมีของดาวเคราะห์ไปตลอดกาล ทั้งนี้ในการดำดิ่งลงไปยังเบื้องลึกนั้น องค์กรต่างๆ อย่าง COMEX ได้สร้างศูนย์ทดสอบขึ้นเพื่อหาทางช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างดำอยู่ในระดับที่มีความลึกมาก แต่จะมีนาฬิกาเรือนใดที่สามารถรับมือกับแรงดันที่เพิ่มขึ้นในระดับความลึกที่ไปถึงในปัจจุบันได้หรือไม่?
Carousel controls
นี่เป็นอีกครั้งที่ OMEGA ได้ลุกขึ้น (หรือดำดิ่ง) เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย ในปี 1970 เรือนเวลา Seamaster Ploprof ที่ดูแปลกตาและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ก็ได้รับการเปิดตัว โดยมาพร้อมกับตัวเรือนหลายเหลี่ยมชิ้นเดียวโดยมีการใช้ซีลยางที่มีความแน่นเป็นพิเศษ รับประกันศักยภาพอันน่าทึ่งเพื่อต่อกรกับแรงของมหาสมุทร และเพื่อมอบประสิทธิภาพในการกันน้ำระดับสูงสุด อีกทั้งยังมีเม็ดมะยมทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งฝังจมลงไปในตัวเรือน และได้รับการปกป้องด้วยน็อตล็อคขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกาเพื่อให้ขยับข้อมือได้สะดวก และป้องกันการกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากน้ำแล้ว “Ploprof” ยังพบวิธีการจัดการผู้บุกรุกเจ้าปัญหาอีกรายได้ด้วย เพราะระหว่างปรับลดแรงดันนั้น นักดำน้ทั่วไปจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงภายในระฆังดำน้ำ พร้อมกับหายใจเอาก๊าซที่มีอะตอมฮีเลียมขนาดเล็กเข้าไป อะตอมเหล่านี้มีขนาดเล็กแต่ทรงพลังมาก และสามารถแทรกซึมเข้าไปในนาฬิกาของนักดำน้ำ และทำให้นาฬิการะเบิดออกเมื่อจบขันเตอนการปรับลดแรงดัน แต่ทว่าการออกแบบอันชาญฉลาดของ “Ploprof” นั้นไม่เหมือนกับนาฬิกาส่วนใหญ่ที่ติดตั้งฮีเลียมวาล์วไว้ภายใน เพราะตัวนาฬิกาเองสามารถป้องกันไม่ให้ฮีเลียมเข้าไปในนาฬิกาได้ตั้งแต่แรก การออกแบบนี้เองช่วยให้ความเที่ยงตรงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแก๊สเลย
[READ_MORE]
นาฬิกาดำน้ำ Seamaster รุ่นสำคัญที่เปิดตัวตามมาทั้งหมด ล้วนมาพร้อมกับคุณลักษณะการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้คอลเลคชั่นมีชื่อเสียงเป็นเลิศในด้านมหาสมุทร เฉกเช่น Seamaster 1000 นาฬิกาที่สามารถกันน้ำได้มากที่สุดเท่าที่ OMEGA เคยผลิตมาจนถึงในปี 2009 Seamaster “Big Blue” ที่เปิดตัวในปี 1972 เป็นนาฬิกาโครโนกราฟดำน้ำเรือนแรกที่กันน้ำได้ถึงระดับ 120 ม./400 ฟุต และ Seamaster 200 SHOM ในปี 1979 ที่ได้รับชื่อเล่นจากเหล่านักสะสมจากการที่นาฬิกาเรือนนี้ได้รับเลือกโดย French Marine Hydrographic and Oceanographic Service (SHOM) ซึ่งเลือกนาฬิการุ่นนี้สำหรับงานด้านการผลิตแผนที่และแผนภูมิใต้ทะเลอย่างเป็นทางการสำหรับนักดำน้ำ อย่างไรก็ตาม สำหรับ OMEGA แล้ว Seamaster ยังมีบทบาทสำคัญบนบกอีกด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว นาฬิการุ่นดั้งเดิมในทศวรรษที่ 40 และ 50 นั้นก็ออกแบบมาให้เข้ากับชุดสูท และทักซิโด้มากกว่าชุดนักประดาน้ำ ด้วยเหตุนี้เอง OMEGA จึงยึดมั่นในจิตวิญญาณดั้งเดิม พร้อมกับขยับขยายคอลเลคชั่น Seamaster ของตยในทศวรรษที่ 60 และ 70 เพื่อรวมความเป็นนาฬิกาเดรสซึ่งเหมาะกับเมืองใหญ่และมื้อเที่ยงที่ยาวนานอีกด้วย รุ่นเรือนเวลาที่โดดเด่นเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นและรสนิยมของ “สวิงกิ้งซิกตี้” ด้วยสีสันใหม่ที่สดใส ทั้งสีน้ำเงิน สีแดง สีส้ม และสีน้ำตาล รวมถึงความสัมพันธ์และบุคลิกใหม่ที่หลากหลาย ในด้านหนึ่ง คุณจะได้พบกับความงามทันสมัยของตัวเรือนแบบ "Pilot Line" และอีกอีกด้านคุณก็จะได้พบกับตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมขนาดมหึมา เช่น นาฬิกาโครโนกราฟ "Hard Metal" จากปี 1971 หรือรูปแบบที่แหวกแนวของ "Bullhead" จากปี 1970 ” และเมื่อลองพิจารณา Seamaster ในทุกวันนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากที่เรือนเวลาทั้งหมดนี้มาจากคอลเลคชั่นเดียวกัน เรือนเวลาแต่ละรุ่นมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะของตัวเอง และแสดงออกถึง 'ความเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคล' ในสังคมยุคดังกล่าว
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สมควรจะกล่าวถึงไม่แพ้กัน ก็คือการเปิดตัววัสดุใหม่ในยุคดังกล่าว เพราะ Seamaster เป็นคอลเลคชั่นที่เปิดรับการออกแบบเชิงทดลอง และบุกเบิกคุณลักษณะใหม่ๆ มาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้เห็นการปรากฏตัวของไทเทเนียมและทังสเตน ซึ่งเป็นโลหะสองชนิดที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพทั้งในด้านความสวยงามและการใช้งาน
เมื่อทศวรรษที่ 80 มาเยือน Seamaster และอุตสาหกรรมนาฬิกาของสวิสทั้งหมดต่างประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งบังเอิญเป็นทศวรรษที่ได้รับการจดจำเสมอมาถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นทั้งในด้านการเมือง ดนตรี เทคโนโลยี และแฟชั่น แต่ทศวรรษดังกล่าวก็สมควรเป็นที่น่าจดจำถึงความหายนะที่เกิดขึ้นกับวงการผู้ผลิตนาฬิกาเช่นกัน เนื่องจากทศวรรษที่ผ่านมานาฬิการะบบควอตซ์จากประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนผสมของพายุที่สมบูรณ์แบบซึ่งโหมกระหน่ำเข้ามาในทศวรรษที่ 80 และเป็นภัยที่จะทำให้แบรนด์นาฬิกาสวิสหลายแบรนด์จมดิ่งสู่ความมืดมน ซึ่งในขณะที่ความนิยมของนาฬิกากลไกถดถอยลงอย่างมากนั้น อุตสาหกรรมก็จำเป็นที่จะต้องตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ และโดยเร็วที่สุด ตามหน้าประวัติศาสตร์ ถือเป็นความโชคดีที่แบรนด์สวิสหลายแบรนด์ที่อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้วยการร่วมมือกัน และรวมความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาของพวกเขาเข้าเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียว การมองการณ์ไกลและการปรับโครงสร้างใหม่นี้เองที่ทำให้อุตสาหกรรมสามารถรักษาเสถียรภาพของตัวเอง และอยู่รอดมาได้
[READ_MORE]
ส่วนหนึ่งในการฟื้นตัวของ OMEGA คือการเปิดตัวนาฬิการะบบควอตซ์รุ่นต่างๆ ของแบรนด์ ซึ่งรวมไปถึง Seamaster เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความทันสมัย และความเที่ยงตรงในราคาที่ย่อมเยา แทนคุณค่าแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นไปตามที่คุณคาดไว้ว่าเรือนเวลา Seamaster เหล่านี้ไม่ค่อยดำเนินตามกระแสนิยมเท่าไรนัก เพราะเรือนเวลาเหล่านี้มีวิธีการคงความเป็นเอกลักษณ์ และความสร้างสรรค์ในแบบฉบับของตัวเอง นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คอลเลคชั่นได้เปิดตัววัสดุที่น่าหลงใหลอย่าง เซรามิกที่เรียบหรู และไททาเนียมคาร์ไบด์ ดังที่พบได้ใน Seamaster “Black Tulip” ของรุ่นปี 1982 ที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ รวมถึงเทคโนโลยีบุกเบิกที่ช่วยให้ผสมผสานวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ซึ่งแสดงให้เห็นได้อย่างสมบูรณ์แบบในรุ่น Polaris Chronograph ปี 1986 ในความเป็นจริงแล้ว คุณยังสามารถพบสิ่งบ่งชี้ที่โดดเด่นมากมายถึงความกระตือรือร้นในการสร้างความแตกต่างของคอลเลคชั่นได้ใน Seamaster หลายรุ่นในทศวรรษนี้
ในช่วง 20 ปีต่อมาอาจถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติสำหรับทั้ง OMEGA และคอลเลคชั่น Seamaster ทศวรรษที่ 90 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับการออกแบบเท่านั้น แต่ยังช่วยขับเคลื่อนแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงการบันเทิงในรูปแบบใหม่ที่มีชีวิตชีวา
บางที ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดอาจเกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อ Seamaster Diver 300M รุ่นแรกๆ ได้ออกสู่ตลาด การเปิดตัวครั้งนี้เป็นสัญญาณถึงการกลับมาสู่โลกแห่งนาฬิกาดำน้ำเฉกเช่นผู้มีชัยโดยแท้จริงสำหรับ OMEGA พร้อมกับพิสูจน์ให้เห็นความช่างประดิษญ์ของแบรนด์ที่ยังคงความแข็งแกร่งเสมอมา นาฬิกาโครโนกราฟได้รับการประกาศให้เป็น *นาฬิกาแห่งปี 1994* ใน *Armbanuhren* ซึ่งเป็นรางวัลแรกที่มอบให้โดยนิตยสารนาฬิกาของเยอรมัน พร้อมกับได้รับการยกย่องในด้านการออกแบบภายนอก รวมถึงหน้าปัดลายคลื่น สายนาฬิกาไทเทเนียม แทนทาลัม และเรดโกลด์ รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับโลกใต้น้ำอันน่าทึ่งที่มาพร้อมกับปุ่มกดที่สามารถทำงานได้แม้อยู่ใต้แรงดันที่ระดับความลึก 300 ม./1,000 ฟุต
เห็นได้เด่นชัดว่า Seamaster Diver 300M ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับการตลาด และการเป็นพันธมิตรของ OMEGA ที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในทศวรรษที่ 1990 แบรนด์ได้สานสัมพันธ์ใหม่ในกีฬาต่างๆ เช่น การแข่งรถและแข่งเรือ พร้อมกับสร้างอัตลักษณ์ด้านแฟชั่นของแบรนด์ผ่านครอบครัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ขยับขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งรวมถึงซูเปอร์โมเดลอย่าง ซินดี ครอว์ฟอร์ด (Cindy Crawford) อารมณ์ความรู้สึกของการมองโลกในแง่ดี และความก้าวหน้าได้แผ่ขยายไปทั่ว OMEGA พร้อมกับนำแบรนด์เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ด้วยวิสัยทัศน์อันแรงกล้า
Carousel controls
จากนั้นในปี 1995 Seamaster ก็ถูกสวมใส่โดยผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุด เมื่อเจมส์ บอนด์ (James Bond) หวนกลับมาสู่จอภาพยนตร์ในเรื่อง GoldenEye พร้อมกับ Seamaster Diver 300M สีน้ำเงินที่ปรากฏเด่นชัดบนข้อมือ นาฬิกาที่เป็นตัวเลือกของจารชนเรือนนี้มาจากลินดี้ เฮมมิง (Lindy Hemming) นักออกแบบเครื่องแต่งกายของภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้สึกได้ว่า Seamaster คือเรือนเวลาที่เหมาะสมที่สุดกับนาวาโท เห็นได้ชัดว่าเฮมมิง (Hemming) ให้ความสนใจกับมรดกทางการทหารของ OMEGA ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Seamaster อย่างลงรายละเอียด
นี่เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ Seamaster มีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดกาล เพราะในภาพยนตร์ 007 ตั้งแต่ในปี 1995 เจมส์ บอนด์ (James Bond) และ Seamaster ก็ไม่เคยแยกจากกันเลย บ่อยครั้งที่นาฬิกาได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตจารชน โดยมาพร้อมกับคุณสมบัติที่น่าทึ่ง ทว่าไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในรุ่นที่จำหน่ายทั่วไป ถึงกระนั้น ความเกี่ยวข้องกับบอนด์ (Bond) ก็ได้มอบมรดกเพิ่มเติมให้กับ Seamaster และเป็นสิ่งที่โดนใจเหล่าแฟนตัวยงอย่างยิ่ง
[READ_MORE]
ในช่วงหลายปีต่อมา หลังจากเปิดตัว Diver 300M เรือนเวลา Seamaster ก็พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีการเปิดตัวนาฬิกาหลายรุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นนาฬิกาโมเดิร์นคลาสสิก Aqua Terra รุ่นแรกมาถึงในปี 2002 รูปแบบที่เรียบง่ายของนาฬิกาเรือนนี้ได้ชวนให้ระลึกถึงการออกแบบที่ดูสะอาดตาของ Seamaster 300 รุ่นดั้งเดิม โดยมาพร้อมกับสไตล์หรูหราทรงสปอร์ตของ Seamaster ยุคแรก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า OMEGA สามารถนำประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาพลิกโฉมให้เหมาะกับโลกสมัยใหม่ได้
ทั้งนี้แรงบันดาลใจจากอดีตยังได้ปรากฏเด่นชัดใน Seamaster Planet Ocean รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2005 ซึ่งได้นำคุณลักษณะด้านการออกแบบหลายประการมาจาก Seamaster 300 แต่ก็ยังมีหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นที่ได้แยกนาฬิกาเรือนนี้ออกจาก Seamaster รุ่นอื่นๆ และนาฬิกาทุกเรือนในโลกคือ ระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial แนวคิดอันชาญฉลาดนี้ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยจอร์จ แดเนียลส์ (George Daniels) ช่างผลิตนาฬิกาชาวอังกฤษ และเปิดตัวครั้งแรกในคาลิเบอร์ 2500 ของ Planet Ocean พร้อมกับกำหนดทิศทางให้ OMEGA มุ่งสู่ความเที่ยงตรงและประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อ
ระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial ไม่ได้เป็นตัวชูโรงเพียงอย่างเดียวของ Seamaster ในสหัสวรรษใหม่เท่านั้น OMEGA ยังมุ่งมั่นผลักดันคอลเลคชั่นนี้ให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยรุ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมหาสมุทร รวมถ